THE WORLD AS I SEE IT
วสุ วิรัชศิลป์ Principal Architect / Director, Vaslab Architecture
As he journeys through this life, Mr. Vasu Virusshsilp witnesses the world changing around him each day, and little by little his perspective changes with it.
“I have been through many things in my life, I’ve made some good decisions and some bad decisions, and have walked away from my mistakes standing tall. Although it isn’t easy, we must learn to live our lives with an ever-evolving perspective on the world and what is possible. These days, I feel that i am better, being a Christian and having God in my heart has made me stronger and helps me get over things easier. Nowadays, my greatest challenges are all with my work. Even though I have already worked more than a decade, there are still have many projects that I want to take on. One of these projects is to make a graveyard. In Thailand, there are not a lot of beautiful graveyards. Many Thai people are afraid to go abroad because they do not understand the role a graveyard plays in a community. My goal is to create a graveyard that is in harmony with the community it serves. Once when I was in Paris, I visited a very beautiful graveyard. Even in Spain there are many nice churchyards that people can spend their time walking, reading, or doing other activities beside the tombs of the deceased. A graveyard is a place for to remember the dead. It is not a spooky place. If we could make a place like that in Thailand, it would be great.”
Role as an architect and CEO could not deny the responsibility that this man must handle but he knew how to balance his life and finding new inspiration for work and living. As an architect and a CEO, he cannot deny all the responsibilities that he must handle, but he also realizes that he must balance his life and search for new inspiration for both working and living.
“I love traveling in Thailand and abroad. I love to see the city and the culture. The interesting thing is to see how each culture’s character is reflected in its architecture. Many times after completing the business-side of a trip, I like to explore the architecture of the nearby city, the place that has an interesting building for my own inspiration. Such as Jewish Museum in Berlin. I like the concept that Daniel Libeskind created in the museum utilizing the three different types of tragedies faced by the Jews: the Jews who died in the war, the survivors, and the Jews who managed to escape the war. Libeskind designed the narrow and tall Halls so that people could reflect on the lives of Jews who were imprisoned during World War 2.
I like to see art and love to visit art exhibitions; even at small galleries in the town because it’s a good chance to find artists and architects. These days, I read more books, mostly literature and biographies. Divina Commedia by Dante Alighieri is the story of Travelling to Three worlds; like in Thai’s novel Tri-Bhum-Praroung, the story talking about life in Hell, Heaven, and Earth, themes found in Dante’s work. The book that I am reading everyday now is the Bible. I love the stories in the Bible, especiallythe teachings of Jesus, which say that the word of God is a metaphor like, “Other seeds fell on shallowsoil with underlying rock. Other seed fell among thethorns, and the thorns came up and choked it, and ityielded no crop. Other seeds fell into the good soil,and as they grew up and increased, they yielded acrop and produced thirty, sixty, and a hundredfold.”He was speaking about the people and education. It’svery a witty metaphor.
One biography that I like is the one about Steve Jobs, and the other one that I just finished reading is the story of Alex Ferguson. I read it because I am a fan of Manchester United (laughs). Actually, I like him because of his great Leadership and his Passion for Football. I love to read about people who are passionate about what they are doing. When we read, we get to see how they chose to rise above their mistakes and give people the courage to rise from their own mistakes. Life is like that. It makes us see that we do not trample on the mistakes of others because they will rise above them just we, too, will also rise above our own mistakes.”
ในวันที่เปลี่ยนไป สิ่งที่ ‘วสุ วิรัชศิลป์’ ได้มองเห็น ก็คือโลกที่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงภายใน จากการที่สายตาได้เห็น และได้มองโลกใบเดิมในวัยที่เขาเติบโตขึ้น
“ชีวิตผมผ่านอะไรมาค่อนข้างเยอะ เราลองถูกลองผิดกับชีวิต ผิดพลาด และลุกขึ้นยืนใหม่แม้จะไม่ได้ง่าย แต่เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับชีวิตและโลกใบเดิมในมุมมองที่เปลี่ยนไป ในวัยนี้ผมก็รู้สึกว่าตัวเองนิ่งขึ้นนะ การเป็นคริสเตียนและมีพระเจ้าอยู่ในใจก็อาจทำให้หัวใจเราแข็งแรงขึ้น ปล่อยวางกับหลายเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้มากขึ้น ความท้าทายในวันนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องงาน ในแง่ของการทำงาน ถึงแม้ว่าเราจะทำงานมา 10 กว่าปีแล้ว แต่ก็ยังมีสเกลงานอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำโปรเจคหนึ่งที่ผมอยากมีโอกาสทำมากก็คือ ‘สุสาน’ ในเมืองไทยยังมีสุสานที่เป็นสวนสวยๆ น้อย ส่วนหนึ่งคงเพราะพอพูดถึงสุสาน ก็คงมีน้อยคนที่รู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่อยากไป ผิดกับต่างประเทศหลายที่ที่พัฒนาสุสานให้เป็นสถานที่ที่อยู่กลมกลืนอยู่กับคนมีชีวิตและใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ ผมเคยมีโอกาสไปทริปที่ปารีสครั้งหนึ่งแล้วได้เห็นว่าเขามีสุสานที่สวยมาก แม้แต่ในสเปนเองก็ยังมีสุสานสวยๆ ให้คนเข้าไปเดินเล่น นั่งอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมภายใน ทั้งๆ ที่มันมีหลุมฝังศพแต่เขาสามารถสร้างให้มันมีความรู้สึกถึงความเป็นอนุสรณ์สถาน มากกว่าจะเป็นสถานที่ที่น่ากลัว ถ้าเมืองไทยเราทำได้แบบนั้นคงดีมาก”
ความที่เป็นทั้งสถาปนิกและผู้บริหาร การทำงานหนักจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับผู้ชายคนนี้ เพียงแต่เขาก็เรียนรู้วิธีที่จะสร้างสมดุลและมองหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้กับทั้งการทำงานและการใช้ชีวิต “ผมเป็นคนชอบท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ เพราะเป็นคนชอบดูเมือง ดูคัลเจอร์ (Culture) ที่น่าสนใจที่ทำให้เราได้เห็นความแตกต่างของเมืองแต่ละเมือง โดยเฉพาะงานสถาปัตยกรรมที่ตั้งอยู่ในแต่ละที่ก็ย่อมมีความน่าสนใจในแบบที่แตกต่างกัน หลายครั้งผมไปทริปเรื่องงานสุดท้ายก็จะปิดท้ายด้วยการไปดูสถาปัตยกรรม บางทีก็อาจจะแวะไปเมืองใกล้ๆ ที่มีสถาปัตยกรรมที่เราสนใจ เพื่อหาแรงบันดาลใจ ที่หนึ่งที่ผมชอบคือ Jewish Museum Berlin ผมชอบคอนเซ็ปต์ในการสร้างงานของเขาที่เริ่มต้นมาจากการพูดถึงโศกนาฏกรรมของชาวยิวในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ‘Daniel Libeskind’ ผู้สร้างได้สร้างสถาปัตยกรรมออกมาโดยมีคอนเซ็ปต์ที่พูดถึงแกน 3 แกนของคนยิว3 ประเภทที่ยังหลงเหลือและไม่เหลืออยู่ในโลกนี้แล้ว นั่นคือกลุ่มแรกที่เสียชีวิตไป อีกกลุ่มที่หนีออกมาได้ก่อนจะเกิดสังหารหมู่ และยิวกลุ่มที่อยู่รอดมาได้ในโลกปัจจุบัน ผมว่าเขาเก่งที่สามารถมองเห็นความสำคัญของคน 3 กลุ่มนี้และสร้างออกมาเป็นงานถาปัตยกรรมบางสเปซ (Space) ของ Jewish Museum จะมืด และเป็นปล่องแสงพุ่งขึ้นข้างบน เขาสะท้อนถึงชีวิตถึงชาวยิวในช่วงที่ถูกกักขังในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ผมชอบดูศิลปะ และชอบไปงานที่เกี่ยวข้องกับการแสดงภาพนิทรรศการต่างๆ หอศิลป์ หรือแม้กระทั่งแกลเลอรี่เล็กๆ ในเมือง เพราะมักจะมีนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับอาร์ท สถาปัตยกรรม ทุกวันนี้ก็อ่านหนังสือ มากขึ้น หนังสือที่ชอบอ่านจะเป็นวรรณกรรม และหนังสือเกี่ยวกับประวัติส่วนบุคคล วรรณกรรม ที่ชอบก็อย่าง ดีวีนา กอมเมเดีย (Divina Commedia) ของดันเต (Dante Alighieri) เป็นเรื่องการเดินทางผ่านภพ 3 ภพ คล้ายกับไตรภูมิพระร่วง นั่นคือมีชีวิตที่นรก สวรรค์ และบนโลก ซึ่งเป็นวรรณกรรมคริสเตียน ส่วนที่อ่านอยู่ทุกวันก็คือไบเบิล ผมชอบเรื่องในไบเบิลโดยเฉพาะในส่วนที่พระเยซูพูดถึงคำสอนที่เป็นพระวัจนะของพระเจ้าซึ่งมีลักษณะเป็นอุปมาอุปมัย เช่นว่า เมล็ดพันธุ์ที่ตกอยู่ในหินก็จะไม่เหมือนเมล็ดที่ตกอยู่ในดินดี หรือเมล็ดตกอยู่หนามแหลม เขาพูดถึงคนแต่ละประเภทที่ได้รับสอนเป็นอุปมาอุมัยที่คมคายมาก
ส่วนหนังสือประวัติบุคคลสำคัญที่ชอบอ่านก็อย่างเรื่องของ สตีฟ จ็อปส์ เล่มที่เพิ่มอ่านจบไปก็คือเรื่องของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่อ่านเพราะผมเป็นแฟนแมนยู (หัวเราะ) จริงๆ ผมชอบเขาเพราะเก่งเรื่อง ลีดเดอร์ชิพ (Leadership) และมีแพชชั่น (Passion) ต่อฟุตบอล เรื่องของบุคคลที่ผมเลือกอ่านมักจะเป็นคนที่เขามีแพชชั่นมาก กับสิ่งที่เขาทำพอเราอ่าน เราก็จะได้เห็นวิธีการตัดสินใจของเขา ความผิดพลาด ไปจนถึงวิธีการลุกขึ้นมาจากความผิดพลาดของเขา จริงๆ ชีวิตคนเราทุกคนก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน มันเลยทำให้ได้เห็นว่าเราจะไม่เหยียบย่ำคนที่เขาผิดพลาด เพราะมันมีวันที่เขาจะลุกขึ้นมาได้อย่างแน่นอน และตัวเราเองก็เป็นคนแบบนั้นได้เหมือนกัน"
Source: VOL 03 ISSUE 04 AUG / DEC 2014
